พิพิทธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ไม่หางนักจากมหาวิหารเซนต์พอล หากว่าเดินจากมหาวิหารเซนต์พอลใช้เวลาประมาณไม่ถึงสิบนาที
ภาพนี้ถ่ายจากข้างหน้าทางเข้าพิพิทธภัณฑ์ ม้าตัวนี้ทำจากโลหะ
จากหลักฐานทางโบราณคดีได้เป็นที่ปรากฏไว้ว่าเมืองลอนดอนนั้นมีอายุเก่าแก่มากกว่าสองพันปี ก่อนที่ชาวโรมันจะเข้ามาบุกลอนดอน ถึงแม้ว่าชาวโรมันจะพิชิตลอนดอนได้ก็ตาม แต่ต่อมาภายหลัง
ชาวเผ่าไอซินี นำโดย ราชินีโบดิก้า บุกเข้ายึดลอนดึเนียม เผาทั้งเมือง และเข่นฆ่าชาวโรมันอย่างเหี้ยมโหด
แต่ในเวลาถัดมา ชาวโรมันสามารถยึดเมืองกลับคืนมาได้ และชนะการรบกับราชินีโบดิก้า ในราวศตวรรษที่ 2 เมื่อโรมันได้รบชนะ ราชินีโบดิก้าสามารถหนีรอดการจับกุมของชาวโรมันไปได้ ประวัติศาสตร์โรมันบันทึกไว้ว่าหลังจากนั้นไม่นานพระนางก็ป่วยและเสียชีวิต
นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าพระนางโบดิก้าและธิดาทั้งสองปลิดชีพตัวเองด้วย
ยาพิษมากกว่าเนื่องจากไม่ยอมเสียเกียรติจากการถูกจับเป็นเชลย เมื่อโรมันเข้ามายึดลอนดิเนียมรุ่งเรืองถึงขีดสุด อีกทั้งลอนดอนในสมัยโรมันมีประชากรประมาณ 60,000 คน
โมเดลแสดงการจำลองผังบริเวณที่เป็นแหล่งผู้คนอาศัยของลอนดอน ในยุค150ปีก่อนคริสศตวรรษ
อาวุธที่ชาวลอนดอน ใช้ในการทำสงครามกับชาวNorwegian ในปีคศ.994 มีทั้งขวาน และดาบ
ชุดเกราะและอาวุธของทหาร จากสงครามในช่วงปีคศ1276 - 1453 สนิมเกลอะมากค่ะ
ปร้อมปราการ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยชาวโรมัน ในปี 110ก่อนคริตศตวรรษ เพื่อใช้ในการปกป้องเมือง ทางหัวมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซากปราการแห่งนี้ตั้งอยู่ทางด้านนอกของพิพิทธภัณฑ์
รองเท้าหนังจากลุ่มช่างทำรองเท้าในปี คศ.1378 ซึ่งได้มีการทำขายในยุคนั้น
ภาพแสดงจำลองการเกิดอัคคีภัยครั้งใหญ่ของลอนดอน ในปี คศ.1666
เพลิงได้ลุกใหม้เมืองยุคกลางที่ตั้งอยู่ในกำแพงเมืองโบราณสมัยโรมัน ลุกลามไปเกือบย่านคนชั้นสูงเขตเวสต์มินสเตอร์ พระราชวังของพระเจ้าชาร์ลสที่ 2 และเกือบถึงสลัมใหญ่ชานเมือง เพลิงได้เผาใหม้บ้านไป 13,000 หลัง โบสถ์ประจำชุมชน 87 แห่ง รวมทั้งเซนพอลล์โบสถ์สำคัญของอังกฤษและอาคารที่ทำการของทางการเกือบทั้งหมด ประมาณว่าเพลิงได้เผาบ้านทำให้ประชากร 70,000 คนจากทั้งหมดที่ประมาณการในขณะนั้น 80,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย จำนวนผู้เสียชีวิตไม่เป็นที่ทราบแน่นอนว่าเท่าใด แต่ได้ประมาณว่ามีจำนวนไม่มาก เนื่องจากมีการแจ้งยืนยันบุคคลผู้เสียชีวิตที่บันทึกไว้น้อย เหตุผลดังกล่าวได้ถูกยกมาถกเถียงในภายหลังว่า ประชากรผู้ยากไร้และคนชั้นกลางในสมัยนั้นไม่มีชื่อในทะเบียน และว่าเพลิงอันรุนแรงอาจเผาศพจนเป็นเถ้าถ่านหรือจนดูไม่ออกหรือจำศพไม่ได้
จึงส่งผลให้ผู้คนเชื่อกันว่าเลข 666 เป็นเลขแห่งความหายนะ
No comments:
Post a Comment