Monday 9 November 2009

มหาวิหารเซนต์พอล St Paul's Cathedral



มหาวิหารเซนต์พอล St Paul's Cathedralเป็นคริสต์ศาสนสถานระดับมหาวิหารของนิกายอังกลิคันที่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอนในสหราชอาณาจักร มหาวิหารที่เห็นในปัจจุบันสร้างเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 17 และเชื่อกันว่าเป็นมหาวิหารที่ 5 ตั้งแต่สร้างมหาวิหารกันมา ณ ที่ตั้งนี้แต่อาจจะสูงกว่านั้นถ้านับการบูรณะเข้าไปด้วย

มหาวิหารเซนต์พอลเก่า”




มหาวิหารเซนต์พอลที่ 4 เรียกว่า “มหาวิหารเซนต์พอลเก่า” หรือ “มหาวิหารเซนต์พอลก่อนไฟไหม้” (ก่อนเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในลอนดอน ค.ศ. 1666) เริ่มสร้างโดยชาวนอร์มันหลัง จากไฟไหม้เมื่อปี ค.ศ. 1087 ระยะเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างก็ร่วม 200 ปีจึงเสร็จ แต่ก็มาเสียหายจากเพลิงไหม้ไปมากเมื่อปี ค.ศ. 1136 หลังคาที่สร้างแทนก็ยังเป็นไม้ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงได้อย่างดี เมื่อปี ค.ศ. 1240 วัดก็ได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการ



แต่หลังจากการสถาปนาได้เพียง 16 ปีวัดก็มีโครงการขยายเพิ่มอีกเมื่อปี ค.ศ. 1256 “งานใหม่” ครั้งนี้เสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1314 แต่วัดได้รับสถาปนาอีกครั้งเมื่อปี ค.ศ. 1300 -- 14 ปีก่อนการขยายเพิ่มเติมจะเสร็จ มหาวิหารเซนต์พอลในขณะนั้นเป็นมหาวิหารที่ลึกเป็นที่สามของยุโรป เมื่อมีการขุดค้นทางโบราณคดีโดยฟรานซิส เพ็นโรส (Francis Penrose) ก็พบว่าตัวมหาวิหารเซนต์พอลเก่าลึก 585 ฟุต กว้าง 100 ฟุตจากแขนกางเขนเหนือถึงใต้กว้าง 290 ฟุตและมีมณฑปที่สูงที่สุดในยุโรปสูงประมาณ 489 ฟุต
พอมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 มหาวิหารก็อยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมมาก


ในสมัยสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 วัดก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากผลของพระราชกฤษฎีกายุบอารามและ “พระราชกฤษฎีกาเวนคืนทรัพย์ของอารามเป็นของหลวง” (Chantries Act) โดยมีการทำลายเครื่องตกแต่งภายในของวัด ระเบียงคด ห้องใต้ดินภายในวัด คูหาสวดมนต์ และบริเวณคริสต์ศาสนพิธี รวมทั้งสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ของวัด อสังหาริมทรัพย์บางส่วนของมหาวิหารที่ไม่ถูกทำลายก็ถูกยึดเป็นของหลวง หรือไม่ก็ถูกขาย หรือถูกบังคับให้เช่าโดยเฉพาะให้กับโรงพิมพ์และร้านหนังสือผู้เป็นโปรเตสแตนต์ วัสดุจากสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำลายก็กลายเป็นวัสดุก่อสร้างสำหรับสิ่งก่อสร้างใหม่เช่น วังซอมเมอร์เซ็ท (Somerset House) ของ โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ - “เจ้าผู้พิทักษ์
ทางตะวันออกเฉียงเหนือของมหาวิหารที่เรียกว่า “St Paul's Cross” กลายมาเป็นที่เทศนากลางแจ้ง เมื่อปี ค.ศ. 1561 มณฑปของมหาวิหารก็ถูกฟ้าผ่าและไม่มีการสร้างแทน เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ทั้งผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิก และ โปรเตสแตนต์ถือกันว่าเป็นสัญญาณจากพระเจ้าที่แสดงความไม่พอใจในความแตกแยกของนิกายทั้งสอง



เมื่อราวปี ค.ศ. 1630 อินิโก โจนส์ (Inigo Jones) สถาปนิกแบบคลาสสิคก็สร้างด้านหน้าใหม่ แต่มาถูกทำลายเสียหายไปมากระหว่างสงครามกลางเมืองอังกฤษ พร้อมกับเอกสารต่างๆ ของวัดด้วย[2] “มหาวิหารเซนต์พอลเก่า” มาถูกทำลายหมดระหว่างเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในลอนดอน เมื่อ ค.ศ. 1666 ถึงแม้ว่าจะเป็นไปได้ที่จะซ่อมแซมจากสิ่งที่หลงเหลือจากไฟไหม้ แต่ก็มีการตัดสินใจให้สร้างวัดใหม่ทั้งหมดเป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัยของสมัย นั้น ที่ในปัจจุบันเรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบบาโรก อันที่จริงแล้วความคิดที่จะสร้างมหาวิหารใหม่ก็เริ่มมาตั้งแต่ก่อนที่ไฟจะไหม้แล้ว




มหาวิหารเซนต์พอล นั้นเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมบาโรกซึ่งเล่นเสาคู่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างช่องว่าง     แสดงให้เห็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่เป็นผลจากการที่สถาปนิกได้เรียนรู้ หลักเกณฑ์ต่างๆ ของการก่อสร้างแต่จงใจที่จะละเลย ผลก็คือสถาปัตยกรรมที่มีไดนามิค (dynamic) ซึ่งรูปทรงของสิ่งก่อสร้างเหมือนจะมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง ราวกับว่าจะเคลื่อนไหวได้ดังเช่นคำว่าบาโรก (baroque) ที่หมายถึงรูปทรงที่บิดเบือนอย่างหอยมุก (“mis-shapen pearl”)
สมัยบาโรกมีการสร้างวัดใหญ่ๆ มากแต่มหาวิหารที่สร้างแบบบาโรกมีเพียงไม่กี่แห่ง ที่เด่นที่สุดก็คือมหาวิหารเซนต์พอล


            

No comments:

Post a Comment