สวัสดีค่ะเพื่อนๆ หลังจากห่างหายกันไปนาน ช่วงนี้ก็เลยขอลาพักผ่อน พาทุกท่านออกไปเที่ยวต่างประเทศ และเยี่ยมชม เมืองๆหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักจากลอนดอน ใช้เวลาเดินทางเครืองบินโดยสารประมาณ 45นาที ส่วนเมืองที่ว่านั้นก็คือ เมืองอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของประเทศฮอลแลนด์ หรือเนเธอร์แลนด์นั่นเอง
Amsterdam เป็นเมืองที่มีความเก่าแก่ยาวนาน ประมาณปี คศ.1200 จากเดิมว่ากันว่าเมืองๆนี้เป็นพื้นที่หมู่บ้านที่อาศัยอยู่ของชาวประมง
แผนผังเมือง Amsterdam เมื่อปี 1544 ก่อนที่จะมีการขุดคลอง
ซึ่งชื่ออัมสเตอร์ดัมนั้นมากจาก ชื่อของแม่น้ำหลักของเมืองนี้คือ แม่น้ำ Amstel
ลักษณะพิเศษของเมืองนี้ก็คือ เป็นเมืองที่รอบล้อมไปด้วยคลอง จึงทำให้เมืองนี้ขึ้นชื่อในเรื่องเมืองแห่งความโรแมนติก จนได้รับฉายาว่า เวนิชแห่งยุโรป
จำนวนประชากรของอัมเตอร์ดัม มีแค่ประมาณ750,000คน ซึ่งถ้าเทียบกับลอนดอนแล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สำหรับมนต์สเน่ห์ของที่นี้นั้นก็คือเป็นเมืองที่มีบรรยากาศกลิ่นอายของวัฒนธรรมชาวดัชต์ และเป็นเมืองที่สร้างศิลปินโลกปรัมจารย์มาสเตอร์แห่งงานศิลปะที่มีชื่อเสียงหลายท่านด้วยกัน
ซึ่งก่อนการเดินทางก็ได้มีการวางแพลนว่าจะไปฮอลแลนด์ซัก 3วัน เช็คในอินเตอร์เนตราคาตั๋วเครื่องบิน ดิฉันเลือกใช้บริการของสายการบินอีซี่เจ็ต ซึ่งราคาก็ค่อนข้างถูก ไป-กลับ ตกประมาณ 120ปอนด์ การเดินทางของดิฉันเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2011 เครื่องออกจากสนามบินเเกตวิค เวลาเที่ยงวัน
ใช้เวลา 45นาที จากท่าอากาศยานลอนดอนแกตวิคลอนดอน ถึง ท่าอากาศยานอัสเตอร์ดามสคิโพล ซึ่งเวลาการเดินทางเพียงแค่นี้ ก็ถึงว่าใกล้นืดเดียวเองสำหรับดิฉัน เพราะปกติแล้วเดินทางจากบ้าน ไปถึงที่ทำงานในลอนดอน ดิฉันใช้การเดินทางมากกว่านี้อีก
ภาพถ่ายจากเครื่องบินลงมา เห็นแต่หมอกทำให้รู้ก่อนเครื่องจะลงจอดเลยว่า ต้องหนาวกว่าลอนดอนแน่ๆ
เมื่อถึงสนามบินก็เดินไปซื้อตั๋วรถไฟไป เซ็นเตอร์สเตชั่น เนื่องจากจะต้องไปหาซื้อยาสีฟัน กับน้ำยาบ้วนปาก และประเด็นหลักสำคัญคือยังมีเวลาเหลือเฟือ กว่าที่จะได้เวลาเช็คอินเข้าโรงแรม เพราะโรงแรมที่ดิฉันเข้าไปพัก มีกฎ ว่า เช็คอินได้ก็ต่อเมื่อ 5โมงเย็นเท่านั้น
ภาพถ่ายระหว่างทางจากสนามบิน ไป เซ็นเตอร์สเตชั่น
Amsterdam Centraal
เซ็นเตอร์สเตชั่น เป็นสถานีรถไฟที่มีอันดับใหญ่ที่สุดในอัมสเตอร์ดัม และมีผู้คนพลุกพล่าน และยังมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในแบบ โดยสองสถาปนิตชาวดัชต์
Cuypers Pierre และ A. L. van Gendt ซึงสถานีแห่งนี้เปิดให้บริการครั้งแรกในปี คศ.1889
จุดเด่นของอัมเตอร์ดัมอีกอย่างคือ ผู้คนที่นี้จะสันจรกันโดยจักรยาน เวลาข้ามถนนก็จะต้องคนมองซ้ายมองขวาระวังจักรยานให้ดี เพราะถ้าไม่ดูทางให้ดีอาจจะโดนเฉี่ยวชนจากผู้ปั่นจักรยานได้
เมื่อดิฉันถึงสถานีเซ็นเตอร์ ก็ได้ลงจากลงไฟแล้วเดินไปหาอะไรทานรองท้องก่อน และในระแวกย่านนี้มีร้านอาหารแล้วร้านค้า หลายร้านด้วยกัน ที่ลืมไม่ได้เลยคือเดินหาซุปเปอร์มาร์เกต เพื่อซื้อของใช้ส่วนตัว ซึ่งดิฉันก็หาจนเจอเพราะอยู่ในซอยตรงข้ามกับสถานี
หลังจากที่แวะทานข้าวแล้วซื้อของใช้ส่วนตัวเสร็จ ดิฉันก็นั่งรถรางต่อไปที่โรงแรมที่พัก
ซึ่งโรงเเรมที่ดิฉันพักจะอยู่ห่างออกไปจากในเมือง โรงแรมนี้มีชื่อว่า Westcord Fashion Hotel สาเหตุที่ดิฉันเลือกที่จะพักที่นี้ก็เพราะว่า โรงแรมนี้เป็นโรงแรมใหม่ ห้องพักสะอาด และการเดินทางสันจรเข้าเมืองก็ง่าย สามารถใช้บริการรถราง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 15นาที จากเซ็นเตอร์สเตชั่น โดยซื้อตั๋ววัน 24ชั่วโมง ราคา 7 ยูโร ถือว่าถูกกว่าลอนดอนซะอีก อีกทั้งโรงแรมนี้ในช่วงโลว์ซีซั่น ก็จะมีโปรโมชั่นราคาถูกสำหรับผู้พัก
ในบริเวณที่มีการจัดงานแฟชั่น
หลังจากเช็คอินเข้าห้องเสร็จดิฉันก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื่อผ้าเตรียมตัวท่องราตรีต่อในยามค่ำคืนของ อัมสเตอร์ดัม ดินแดนแห่งความเสรี สิ่งแรกที่ดิฉันต้องทำเลยคือหยิบโน๊ตบุ๊คคู่ใจขึ้นมา กับสมุดแล้วก็ปากกา ค้นหาข้อมูลและสถานที่เที่ยวในยามค่ำคืน ดิฉันเลือกที่จะไปเดินแถวย่าน Red Light District
ซึ่งย่านนี้เป็นย่านที่ขึ้นชื่อในเรื่องของโสเภณี และค็อปฟี่ช็อปที่มีการเปิดขายกัญชาอย่างถูกกฎหมาย
ที่เป็นจุดเด่นสำคัญของที่นี้คือ คุณโสทุกคนใส่แต่เครื่องใน ยืนเรียกแขกอยู่ในตู้ ซึ่งเขาก็จะแบ่งเป็นตู้ใครตู้มัน โสเภณีที่นี่ขอบอกก่อนเลยนะค่ะว่าอย่าไปดูถูกเขาทีเดียว เพราะเขาทำงานอย่างถูกกฎหมายและเสียภาษีให้กับรัฐบาล มองผ่านไปเห็นสาวๆสวยๆทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกยุโรปตะวันออก
ในขณะที่ดิฉันเดินผ่านโสเภณีตู้ไป ก็ไปเจอนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งซึ่งเขาก็มีไกด์พาเที่ยว ด้วยความหูดีขอดิฉันเลยแอบได้ยินไกด์สาวคนนั้นพูดขึ้นมาว่า ชีเคยทำงานเป็นโสเภณีอยู่ในตู้มาก่อน และรัฐบาลจะเป็นผู้ที่เป็นเจ้าของตู้โสเภณีทั้งหมด และได้มีการปล่อยให้เช่าแก่โสเภณี
บรรยากาศภายในห้องนอนของโรงแรมที่ดิฉันเข้าพัก ที่นอนนุ่มสบายมากๆ
..................
เช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่ 2 มีนาคม 2011 ตื่นตั้งแต่ 7โมงครึ่ง ลงอ่างอาบน้ำ แต่งตัวแต่งหน้า
ใช้เวลาทั้งหมดทั้งสิ้น 1ชั่วโมง หลังจากปฎิบัติกิจวัตรประจำวันส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแบบง่ายๆตามสไตล์ดิฉัน ประเภทอยากใส่อะไรก็ใส่ไม่แคร์แฟชั่น ไม่ตามดารา ขอบอกเลยว่าถ้าเพื่อนๆทั้งหลายจะไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัม ควรใส่รองเท้าที่สะดวกในการเดินมากที่สุดอย่าริอาจได้ใส่ส้นสูงเป็นอันขาด เพราะน้องสวยๆของสาวๆทั้งหลายกล้ามขาอาจจะขึ้นได้
9โมงเช้าเป็นเวลาดิฉันเดินออกจากโรงแรมไปนั่งรถรางต่อเพื่อไปลงที่ย่าน Dam Square เพื่อหากาแฟรองท้อง แต่เมื่อเข้าไปถึงร้านอีตอนแรกก็กะว่าจะสั่งกาแฟ แต่สุดท้ายไปลงเอยด้วยช็อคโกแลตร้อน อร่อยหอมน่าดู อ้าาา ดูกันให้ดีนะค่ะเพราะค็อฟฟี่ช็อปในอีกความหมายหนึ่งหมายถึงร้านขายกัญชา เดี๋ยวเพื่อใครเข้าผิดออกมาแล้วเมากัญชายุ่งเลย
Hot Chocolate and Whip Cream,เป็นอะไรที่หอมน่าทานมาก
หลังจากทานมื้อเช้าไปแล้วก็นั่งรถรางสาย5 จาก Leidseplein Square ไปลงที่สถานี Museumplein หรือ
"Museum Square" สาเหตุที่เรียกว่ามิวเซี่ยมสแควร์ก็เพราะว่ามีพิพิทธภัณฑ์ที่ขึ้นของของอัมสเตอร์ดัม 4 พิพิทธภัณฑ์ในบริเวณนี้ด้วยกัน1. Rjksmuseum
เป็นสถานที่รวบรวมภาพเขียนและงานศิลปะของศิลปินดังชาวดัชต์ระดับ มาสเตอร์พีช
2. Van Gogh Museum
หรือที่คนไทยในชื่อ วินเซ้นต์ แวน โก๊ะ ศิลปินในยุคของโพสอิมเพรสชั่นนิชม์ ผู้มีชิวิตที่อาภัพ
3.Stedelijk Museum
เป็นพิพิทธภัณฑ์ที่จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัย
4.Diamond Museumอันนี้เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ชาวดัชต์นั้นมีความสามารถและขึ้นชื่อในเรื่องของการเจียระไนยเพชร ตั้งแต่ในยุคทองของฮอลแลนด์
จะให้เข้าชมพิทธภัณฑ์ที่กล่าวมาทั้งหมดเวลาคงไม่พอแน่ ดิฉันจึงได้เลือกแค่ 2ที่เท่านั้น สถานที่แห่งแรกที่ดิฉันเลือกเข้าไปชม และเป็นสถานที่ๆดิฉันใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กก็คือ Rijksmuseum สาเหตุที่ใฝ่ฝันมานานเพราะดิฉันมีความชื่นชอบจิตรกรชาวดัชต์หลายท่าน ไม่ว่าจะ Rembrandt, Vermeer,Frans Hals
รวมทั้งจิตรกรและศิลปินอีกหลายท่านด้วยกันที่ดิฉันไม่ได้เอ่ยนาม เพราะผลงานเหล่านี้เป็นมรดกโลกที่ทรงคุณค่าจริงๆ แต่เสียดายที่ไม่สามารถที่จะถ่ายรูปเอามาลงในบล็อคได้เพราะว่ามันคือกฎของที่นั้นว่าห้ามถ่ายรูปใดๆ ภาพในพิพิทธภัณฑ์
ประตูทางเข้าของพิพิทธภัณฑ์ นี่ยังเช้าอยู่ถ้าสายๆคนจะต่อคิวกันยาวมาก
เสียดายมากเวลาไม่พอ ขอบอกได้คำเดียวว่าคุ้มจริงๆค่ะกับการซื้อตั๋วเข้าชมพิพิทธภัณฑ์แห่งนี้ กับราคา €12.50 ซึ่งในราคานี้ถึงว่าไม่แพงเลย คุ้มมากค่ะคุ้มจริงๆสำหรับผู้ที่รักในงานศิลปะ ก่อนที่จะกลับก็อดใจไม่ไหวที่จะแวะเข้าร้านของพิพิทธภัฑ์ซักหน่อย เล่นหมดไปหลายเหมือนกัน สรุปว่าดิฉันได้หนังสือมา3เล่ม
โปรดการ์ด และภาพปริ๊นจากในพิพิทธภัณฑ์
เวลาผ่านไปจนถึงบ่ายโมง ท้องก็เกิดอาการร้อง เลยเดินจากพิพิทธภัณฑ์จำไม่ได้หรอกค่ะว่าเดินไปตามเส้นทางไหนเพราะว่า ดิฉันเดินแบบมั่วๆสุ่มสี่สุ่มห้าจริงๆ แต่ก็เดินไปจนถึง Flower Market จนได้ ไม่ไกลจากทางเข้าตลาดดอกไม้ ก็สังเกตเห็นร้านอาหารอินโดนีเชียร้านหนึ่งชื่อว่าร้าน SAMPURNA Indonesian Cuisine ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในฟลาวเวอร์มาร์คเกต เมื่อเดินผ่านก็จะมองเห็นทางฝั่งขวามือ
เริ่มต้นด้วยข้าวเกรียบที่แนบมาพร้อมกับน้ำพริกเผา
Met Garnalen Bousi
รสชาติคล้ายกับต้มยำกุ้งบ้านเรา เพียงแต่ออกรสเค็มมากกว่าต้มยำ
Ikan Bali
หลังจากที่ทานข้าวกลางวันเสร็จแล้วดิฉันก็จึงไปต่อ กับทริปล่องเรือทัวร์ชมเมืองราคาค่าตั๋ว 9ยูโร
ใช้เวลา 1ชั่วโมงในการล่ิองเรือ ตลอดระยะทางก็จะมีการบรรยายสถานที่สำคัญต่างๆ ตึกราบ้านช่องประวัติความเป็นมาถือว่า ถ้าใครมาอัมสเตอร์ดัมแล้วพลาดทริปนี้ไม่ได้เลยที่เดียว เรือที่นี้จะออกทุกๆครึ่งชั่วโมงค่ะ
และเที่ยวสุดท้ายก็คือ รอบประมาณ3โมงเย็น กลับถึงท่า4โมงเย็น
ใช้เวลา 1ชั่วโมงในการล่ิองเรือ ตลอดระยะทางก็จะมีการบรรยายสถานที่สำคัญต่างๆ ตึกราบ้านช่องประวัติความเป็นมาถือว่า ถ้าใครมาอัมสเตอร์ดัมแล้วพลาดทริปนี้ไม่ได้เลยที่เดียว เรือที่นี้จะออกทุกๆครึ่งชั่วโมงค่ะ
และเที่ยวสุดท้ายก็คือ รอบประมาณ3โมงเย็น กลับถึงท่า4โมงเย็น
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีดี ละเอียดมากมายเรยยยยจ้า ชอบ ชอบ
ReplyDelete